สธ.เตือนประชาชนระวังโรคสุกใส
ช่วงปลายหนาวต้นร้อน แนะผู้ป่วยควรหยุดงาน หยุดเรียน 7 วัน
ป้องกันโรคแทรกซ้อน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนระวังโรคสุกใส ในปี 2552
พบผู้ป่วยกว่า 80,000 ราย เสียชีวิต 3 ราย
มักพบระบาดในช่วงปลายหนาวต้นร้อน
แนะหากมีคนป่วยในครอบครัวควรแยกของกินของใช้ ให้หยุดงานหยุดเรียนประมาณ
1 สัปดาห์ เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน ลดการแพร่กระจายเชื้อ
นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า
ในช่วงที่สภาพอากาศจะเปลี่ยนจากฤดูหนาวเป็นฤดูร้อน
โรคที่น่าห่วงและมักพบในช่วงนี้ที่สำคัญคือ โรคสุกใส (Chickenpox)
ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส ที่มีชื่อ เวลิเซลลา-ซอสเตอร์ (Varicella-Zoster
Virus : VZV) เป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด
พบได้ประปรายตลอดปี แต่มักระบาดในช่วงปลายฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อนคือ
เดือนมกราคมถึงเมษายน ในปี 2551 ทั่วประเทศพบผู้ป่วยโรคสุกใส
76,750 ราย เสียชีวิต 4 ราย อายุระหว่าง 33-35 ปี เป็นชาย 3 ราย หญิง 1
ราย สาเหตุการเสียชีวิตเนื่องจากติดเชื้อในกระแสเลือด 1 ราย
โดยผู้เสียชีวิตมีอาชีพขับเรือออกไปหาปลา ระหว่างป่วยไม่ได้หยุดพักงาน
ทำให้ติดเชื้อแทรกซ้อนโดยเชื้อเข้าทางบริเวณที่เกิดตุ่มสุกใส ส่วนอีก 3
ราย มีโรคแทรกซ้อนปอดบวมรุนแรงเนื่องจากมีภูมิต้านทานต่ำ
เพราะมีโรคประจำตัวคือ เบาหวาน และไขข้ออักเสบ นอกจากนี้
ยังมีรายงานพบเด็กหลังคลอดติดเชื้อดังกล่าวด้วย 2 ราย
รายแรกเป็นเด็กหญิงอายุ 11 วัน มีประวัติแม่ป่วยเป็นโรคสุกใสก่อนคลอด 7
วัน แม้จะแยกแม่และเด็กทันทีหลังคลอดอย่างเคร่งครัดแล้วก็ตาม
ส่วนรายที่ 2 เป็นเด็กชายอายุ 17 วัน
ติดเชื้อจากแม่ที่มีอาการป่วยหลังคลอด 7 วัน ทั้ง 2 ราย
ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ สำหรับปี 2552 ทั่วประเทศพบผู้ป่วยโรคสุกใส
84,928 ราย เสียชีวิต 3 ราย ในเด็ก 7 ปี 1 ราย และในผู้ใหญ่ 2 ราย
นายแพทย์ไพจิตร์ กล่าวต่อไปว่า
จากรายงานทางระบาดวิทยาพบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 50 ของผู้ป่วยโรคสุกใส
เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี อาการไม่รุนแรง
คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติและกระทรวงสาธารณสุขจึงยังไม่กำหนดให้เป็นวัคซีนภาคบังคับฉีดในเด็กไทย
เด็กที่เป็นโรคนี้มาแล้ว จะมีภูมิต้านทานโรคตลอดชีวิตไม่ป่วยซ้ำอีก
อาการของโรคสุกใสเริ่มจากไข้ต่ำๆ ต่อมามีผื่นขึ้นที่หนังศีรษะ หน้า
ตามตัว หลังมีไข้ 2-3 วัน มักมีลักษณะตุ่มใส มีหลายระยะ
ตุ่มใสขนาดต่างๆไม่เท่ากัน หลังจากนั้นตุ่มจะแห้งตกสะเก็ดและหลุดภายใน
5-20 วัน โดยทั่วไปผื่นจะหายเอง โดยไม่มีแผลเป็น
ยกเว้นติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนบนผิวหนัง เช่น ใช้มือเกา
เชื้อโรคที่อยู่ตามซอกเล็บอาจทำให้แผลที่เกา
เกิดการอักเสบและมีแผลตามมา
ในบางรายที่เกิดภาวะแทรกซ้อนเชื้ออาจกระจายเข้าไปในกระแสเลือด
ทำให้เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษและปอดบวมได้ ทางด้านนายแพทย์ภาสกร
อัครเสวี ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา กล่าวว่า โรคสุกใสที่พบในขณะนี้
เกิดขึ้นทุกกลุ่มอายุ ส่วนใหญ่ยังคงพบในเด็ก
แต่การเกิดโรคอาจรุนแรงในผู้ใหญ่ หากมีภาวะภูมิต้านทานบกพร่อง เช่น
ภาวะเบาหวาน โรคเลือดจาง และการติดเชื้อเอชไอวี
โรคดังกล่าวติดต่อกันโดยการหายใจเอาละอองเสมหะ
น้ำมูกและน้ำลายที่เกิดจากการไอของผู้ป่วยเข้าไป
หรือใช้ภาชนะและของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ป่วย
หรือสัมผัสน้ำเหลืองจากตุ่มพองใสที่ผิวหนังผู้ป่วย
ดังนั้นในการป้องกันโรค
หากมีคนป่วยในครอบครัวควรแยกของกินของใช้จากคนปกติ
ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ ในเด็กเล็กต้องตัดเล็บให้สั้น ให้ผู้ป่วยพักผ่อน
รักษาความอบอุ่นร่างกาย หากมีไข้ให้กินยาลดไข้
หากเจ็บคอหรือไอควรปรึกษาแพทย์ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคสุกใส ควรหยุดเรียน
หยุดงานประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น
นายแพทย์ภาสกร กล่าวต่อว่า แม้โรคนี้จะไม่ใช่โรคร้ายแรง
แต่ยังคงพบป่วย และอาจเกิดการระบาดได้ในโรงเรียน สถานที่เลี้ยงเด็ก
หรือสถานดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง (บ้านพัก)
หลังการป่วยอาจมีรอยแผลเป็นตามผิวหนังที่มีผลต่อความสวยงามได้
ดังนั้นจึงขอแนะนำในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการคันมาก ขอให้หลีกเลี่ยงการเกา
และรักษาความสะอาดของแผลไม่ให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังซ้ำซ้อนต่อไป
****************************** 7 กุมภาพันธ์ 2553
|
แหล่งข่าวโดย.... สำนักสารนิเทศ
[7/ก.พ/2553]
| |